การเล่นในระดับสโมสรอาชีพ ของ โรเบิร์ต เอิร์นชอว์

คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ เข้ามาสู่สโมสรคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในปี ค.ศ. 1997 ในฐานะนักฟุตบอลระดับเยาวชน โดยเป็นการเซ็นสัญญาระยะสั้น 1 ปี จากนั้นเขาได้พัฒนาฟอร์มการเล่นของตัวเองจนได้รับสัญญานักฟุตบอลอาชีพในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1998 ก่อนที่ในปี 2000 เขาถูกส่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับสโมสรฟุตบอล กรีน็อค มอร์ตัน ในสกอตแลนด์ด้วยสัญญายืมตัว และได้รับโอกาสให้ทดสอบฝีเท้ากับสโมสรมิดเดิลสโบรห์ ในยุคของไบรอัน ร็อบสัน

โด่งดังกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

ประสบการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้ฝีเท้าของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และติดทีมชาติเวลส์ชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นไปเล่นให้กับทีมชาติเวลส์ชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของมาร์ค ฮิวจ์ส โดยการลงสนามให้ทีมชาตินัดแรกของเขา เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 ในนัดที่พบกับทีมชาติเยอรมัน ที่สนามมิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมชาติเวลส์เอาชนะเยอรมันในบ้านของตัวเองได้สำเร็จแล้ว หลังจบการแข่งขันเขายังได้รับรางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกด้วย จากผลงานดังกล่าวทำให้ในเดือนต่อมาเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งเวลส์ยอดเยี่ยมแห่งปี และมีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมดิวิชัน 2 ประจำฤดูกาล 2002–2003 จากการโหวตของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมด้วยการยิงถึง 35 ประตูเมื่อรวมทุกรายการ โดยเป็นการยิงเฉพาะในลีกถึง 31 ประตู และสามารถทำลายสถิติการยิงประตูให้สโมสรที่ยืนยาวมานานถึง 56 ปี ของ สแตน ริชาร์ดส์ อดีตกองหน้าของทีมลงได้สำเร็จ[3]

เอิร์นชอว์กลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมชาติเวลส์ ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก และในการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับทีมชาติสกอตแลนด์ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2004 เขาสามารถยิงแฮตทริกได้สำเร็จ และพาทีมชาติชนะไปถึง 4–0

หลังจบฤดูกาล 2003–2004 เอิร์นชอว์มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลีก ดิวิชัน 1 ทำให้เขาเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสร โดยเขาสร้างผลงานยิงประตูในลีกให้กับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี ไปถึง 85 ประตู จากการลงสนามมากกว่า 170 นัด

เวสต์บรอมวิช อัลเบียน

ฤดูกาล 2004–2005 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ ย้ายจากสโมสรคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ มาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ภายใต้การคุมทีมของไบรอัน ร็อบสัน ด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์ โดยเขาลงสนามให้สโมสรเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2004 ในนัดที่แพ้สโมสรลิเวอร์พูล 0–3 โดยลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งหลัง

เอิร์นชอว์ ใช้เวลาลงสนาม 7 นัด จึงสามารถยิงประตูแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ได้สำเร็จโดยเป็นการยิงคนเดียว 2 ประตู ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2004 นัดที่พบกับสโมสรเซาท์แฮมป์ตัน และเขาสามารถยิงแฮตทริกได้อีกครั้งแต่คราวนี้เกิดขึ้นในระดับพรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับชาร์ลตัน แอธเลติก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 2005 ทำให้เขาสร้างสถิติเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ยิงแฮตทริกได้ทั้ง 4 ดิวิชันของลีกอาชีพอังกฤษ อีกทั้งประตูสำคัญของเขาที่ยิงให้กับทีมยังช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นในฤดูกาล 2004–2005 โดยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้นด้วยผลงานการยิง 14 ประตู ในทุกรายการ และเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 11 ประตู

ฤดูกาล 2005–2006 เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซื้อผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้ามาร่วมทีมอีก 2 คน คือ ดิโอมองซี่ กามาร่า กองหน้าทีมชาติเซเนกัลและ นาธาน เอลลิงตันกองหน้าดาวรุ่งชาวอังกฤษ ทำให้เอิร์นชอว์มีคู่แข่งที่เบียดแย่งลงสนามมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจย้ายออกจากทีมในช่วงของการซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคม ปี 2006 โดยที่เขายิงประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ให้เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนได้แค่ 1ลูกเท่านั้น

นอริช ซิตี้

วันที่ 31 มกราคม ปี 2006 วันสุดท้ายของการซื้อขายผู้เล่นรอบ 2 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ ย้ายมาเล่นในลีกแชมเปียนชิปกับสโมสรนอริช ซิตี ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ และยิงประตูแรกให้นอริช ซิตีได้ในนัดที่เปิดบ้านถล่ม ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ไป 3–0 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2006 และจบฤดูกาลด้วยการยิงในลีกแชมเปียนชิปให้นอริช ซิตี ไป 8 ประตู

ฤดูกาล 2006–2007 ในช่วงเดือนมกราคม ขณะที่เขากำลังโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมด้วยการนำเป็นดาวซัลโวของลีกแชมเปียนชิป ด้วยการยิงไป 17 ประตู กลับต้องมาพบกับอาการบาดเจ็บโคนขาหนีบขณะฝึกซ้อม จนทำให้เขาต้องพักยาวจนเกือบจบฤดูกาล และกลับมาลงสนามให้นอริช ซิตีได้อีกครั้งในเดือนเมษายน ปี 2007 พร้อมทั้งยิงประตูที่ 18 และ19 ในลีกของเขาได้ในนัดที่พบกับสโมสรเลสเตอร์ซิตีและเชฟฟีลด์ เวนส์เดย์

ดาร์บี้ เคาน์ตี้

ฤดูกาล 2007–2008 เอิร์นชอว์ได้กลับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ลีกอีกครั้งเมื่อสโมสรดาร์บี เคาน์ตีซื้อตัวเขามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นค่าตัวที่แพงที่สุดของสโมสรในขณะนั้น โดยเขาลงสนามเป็นนัดแรกให้ทีม"แกะเขาเหล็ก" ในนัดที่เสมอกับสโมสรฟุตบอลพอร์ทสมัธ 2–2 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี 2007

ในช่วงต้นฤดูกาล 2007–2008 เขาลงสนามเป็นตัวจริงสลับกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่จะหลุดเป็นตัวสำรองถาวรในเวลาต่อมา โดยเอิร์นชอว์ยิงประตูแรกให้ดาร์บี เคาน์ตี ได้ในการแข่งขันเอฟเอคัพกับสโมสร เปรสตัน นอร์ท เอนด์ เมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 2008

ผลงานในพรีเมียร์ลีกของสโมสรถือว่าย่ำแย่และมีแนวโน้มว่าจะตกชั้นค่อนข้างสูง ทำให้ในเวลาต่อมา บิลลี่ เดวี่ส์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้นถูกไล่ออกและถูกแทนที่ด้วย พอล จีวล์ ส่วนโรเบิร์ต เอิร์นชอว์ต้องรอจนถึงเดือนเมษายน กว่าที่จะยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้ดาร์บี้ เคาน์ตี้ได้สำเร็จ โดยเขายิงได้ในนัดที่แข่งกับอาร์เซนอล และหลังจากจบฤดูกาล2007–2008 สโมสรก็มีอันต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และเขาตัดสินใจย้ายสโมสรอีกครั้งเพื่อโอกาสในการลงสนามที่สม่ำเสมอ

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

ฤดูกาล 2008–2009 โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ เปิดตัวในฐานะผู้เล่นหมายเลข 10 ของสโมสร เจ้าป่า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ โดยเขาเซ็นสัญญากับทีมเป็นเวลา 3 ปี และลงสนามนัดแรกในวันที่ 10 สิงหาคม ปี 2008 ในนัดที่เสมอกับสโมสรเร้ดดิ้ง 0–0

เอิร์นชอว์ยิงประตูแรกให้กับสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ได้เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2008 ในการแข่งขันลีกคัพรอบแรก ที่ตัวเขายิง 2 ประตูใส่สโมสรมอร์แคมบ์จากบลูสแคว์ พรีเมียร์ลีก และยิงประตูแรกในลีกแชมเปียนชิพให้ต้นสังกัดได้ในวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2008 ในนัดที่ชนะวัตฟอร์ดในบ้าน 3–2 โดยเขายิงในลีกไป 12 ประตูเมื่อจบฤดูกาล

ฤดูกาล 2009–2010 เขายิงแฮตทริกได้อีกครั้ง ในลีก แชมเปียนชิป เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 2009 โดยช่วยให้สโมสรเอาชนะเลสเตอร์ซิตี ไปถึง 5–1 โดยในฤดูกาลนี้เขายิงในลีกแชมเปียนชิปถึง 17 ประตู และพาทีมจบด้วยอันดับ 3 ได้สิทธิแข่งขันในรอบเพลย์ออฟเพื่อหาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก แต่ทีมของเขากลับพลาดท่าแพ้ต่อสโมสรแบล็คพูลด้วยประตูรวม 6–4 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

กลับสู่คาร์ดิฟฟ์

ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2011, เอิร์นชอว์ ย้ายกลับมาคาร์ดิฟฟ์ซิตี โดยไม่มีค่าตัว หลังจากที่ไม่ต่อสัญญากับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเขาพบกับผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง มัลคี แม็กเคย์ ซึ่งย้ายมาจาก วัตฟอร์ด เอิร์นชอว์ เล่นให้กับคาร์ดิฟฟ์เกมแรกในการกลับมาของเขาโดยทีมเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ไปได้ 1–0 ในวันที่ 7 สิงหาคม[4] ประตูแรกของเขาเกิดขึ้นในเกมที่ชนะ บริสตอล ซิตี้ไป 3–1 ในบ้าน และเขาทำประตูลูกที่ 200 ในชีวิตนักเตะอาชีพในเกมที่เสมอกับ เบิร์นลีย์ ไป 1–1 ในวันที่ 20 สิงหาคม[5] แต่หลังจากนั้นเอิร์นชอว์ก็เป็นตัวสำรองบ่อยขึ้นเพื่อเปิดทางให้ เคนนี่ มิลเลอร์ เล่นเป็นตัวจริง เขากลับมาอีกครั้งตอนที่แพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ซึ่งเป็นทีมเก่าของตัวเอง ไป 4–2 ในวันที่ 7 มกราคม 2012 ส่วนในลีกเขาไม่ได้เล่นให้ทีมเลยตลอด 2 เดือน จนกลับมาเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ ฮัลล์ ซิตี ซึ่งเกมนั้นพวกเขาแพ้ไป 3–0 ช่วงหลังๆพวกเขาได้เล่นเป็นตัวสำรองในช่วงไม่กี่นาทีก่อนหมดเวลา จนทีมได้เล่นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นโดยแพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยประตูรวม 5–0

มัคคาบี้ เทลอาวีฟ

ในวันที่ 20 กันยายน, เอิร์นชอว์ ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อิสราเอล โดยไปเล่นให้กับ มัคคาบี้ เทลอาวีฟในสัญญายึมตัวจนจบฤดูกาล, และได้เบอร์ 19 เป็นเบอร์เสื้อทีม[6] หลังจากที่เล่นกับมัคคาบี้ เทลอาวีฟ เอิร์นชอว์ เชื่อว่าเมื่อเล่นให้กับทีมนี้จะมีความสุขและสามารถคึนฟอร์มเก่าๆกลับมาได้ และ ได้รับปากกับ ยอร์ดี ครัฟฟ์ ผอ.กีฬาของทีมว่าและเปลื่ยนว่าและโชว์ฟอร์มให้ดีกว่าเดิม[7] เอิร์นชอว์ ถูกเรียกตัวกลับมาและแยกทางกับสโมสร ในช่วงตลาดนักเตะรอบสอง

โตรอนโต้ เอฟซี

28 กุมภาพันธ์ 2013 เอิร์นชอว์เข้าร่วมทีมโตรอนโต้ เอฟซี[8] เขาเล่นเกมแรกในนัดที่แพ้ แวนคูเวอร์ ไวแคบส์ ไป 1-0 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2013[9] สัปดาห์ต่อมา เขาทำสองประตูในเกมที่พบกับสปอร์ดตี้ง แคนซัส ซิตี และช่วยให้เกมแรกของ ไรอัน เนลเซน ในการคุมทีมมีสถานการณ์ดีขึ้นและมีความมั่นใจ

แบล็คพูล

วันที่ 21 มีนาคม ปี 2014 เอิร์นชอว์ เซ็นสัญญาระยะสั้น ในการลงเล่นลีกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในอังกฤษอีกครั้งกับทีมแบล็คพูล โดยเป็นการเล่นให้สโมสรจนจบฤดูกาล ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

ชิคาโก้ ไฟร์

ใกล้เคียง

โรเบิร์ต สายควัน โรเบิร์ต สมิธสัน โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ โรเบิร์ต แพตตินสัน โรเบิร์ต แม็กนามารา โรเบิร์ต บอยล์ โรเบิร์ต อี. ลี โรเบิร์ต กัมปิน โรเบิร์ต เซเม็กคิส โรเบิร์ต แวดโลว์

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรเบิร์ต เอิร์นชอว์ http://www.torontofc.ca/news/2013/03/reds-fall-sho... http://robertearnshaw.com/early.php http://www.siamsport.co.th/football/championship/v... http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/14356630.... http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/14604812.... http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/c/c... http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/19662977? http://www.cardiffcityfc.co.uk/page/ProfilesDetail... http://www.walesonline.co.uk/cardiffonline/cardiff...